Think In Truth

จาก'ลูกเศรษฐี'ก้าว...สู่'พระอรหันต์'ของ 'พระปฏาจาราเถรี' โดย: ฟอนต์ สีดำ



บนเส้นทางแห่งปัญญา ชีวิตจะต้องผ่านปัญหาหรือทุกข์ในทุกรูปแบบที่ผ่านเข้ามาพิสูจน์ชีวิตวิตของเรา ทุกข์ที่ผ่านเข้ามาพิสูจน์ชีวิตเรา ในขณะที่เราขาดซึ่งสติ และสมาธิแล้ว จะทำให้เรานั้นตัดสินใจตามอารมณ์ที่กระตุ้นให้เราแสดงออกหรือตัดสินใจในการกระทำ ดั่งเรื่องราวของพระปฏาจาราเถรี ที่ผ่านเส้นทางแห่งทุกข์อย่างสาหัส แต่เมื่อได้เข้าใจแห่งทุกข์และสามารถจัดการกับทุกข์นั้นได้ด้วยตัวเอง ก็นำพาชีวิตให้พบกับปัญญาซึ่งเป็นเส้นทางแห่งการพ้นทุกข์

เส้นทางแห่งน้ำตาและการหลุดพ้น

นครสัตถีอันรุ่งเรืองในอดีตกาล บุตรสาวของมหาเศรษฐีผู้หนึ่งถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางความมั่งคั่งและการทะนุถนอมของบิดามารดา นางคือ "ปฏาจารา" หญิงสาวผู้เปี่ยมด้วยรูปสมบัติงดงามดั่งเทพธิดาแห่งสรวงสวรรค์ ด้วยความหวั่นเกรงภัยจากโลกภายนอก ครอบครัวของนางจึงกักเก็บความงามนี้ไว้บนปราสาทสูงถึงเจ็ดชั้น เพื่อมิให้เงาชายใดได้เหยียบย่างเข้ามาในหัวใจของบุตรสาว

ทว่าโชคชะตากลับเล่นตลกกับความระแวดระวังของผู้เป็นบิดามารดา ดอกฟ้าในปราสาทกลับโน้มลงมาให้ชายรับใช้ผู้ต่ำศักดิ์ในเรือน ภายใต้เงาของความรักและความหลงใหล นางตัดสินใจหนีตามเขาไปครองชีวิตอย่างสามัญชน แม้จะต้องแลกมาด้วยความสบายทั้งหมดแห่งชีวิตในวัง ก็หาได้หวั่นไหวไม่

ชีวิตในชนบทซึ่งแตกต่างจากห้องหอแห่งอาภรณ์และเครื่องหอม นำพานางสู่บทเรียนแห่งทุกขเวทนา ครั้งตั้งครรภ์บุตรคนแรก นางปรารถนาจะได้คลอดบุตรในร่มเงาแห่งครอบครัวเดิม แต่ก็ถูกปฏิเสธโดยผู้เป็นสามี ด้วยเกรงภัยจากเศรษฐีผู้เป็นอดีตพ่อตา จึงจำต้องคลอดลูกท่ามกลางป่าเขาด้วยความยากลำบาก แม้รอดมาได้ แต่ชะตากลับมิเมตตานางนัก

ครั้นเมื่อครรภ์ที่สองใกล้กำหนดคลอด นางหนีสามีอีกครั้งไปสู่บ้านบิดามารดา แต่พายุและลมฝนกลับโหมกระหน่ำกลางทาง และเหตุการณ์อันโหดร้ายก็พรากสามีของนางไปด้วยพิษงู เขานอนแน่นิ่งอยู่ข้างจอมปลวกโดยที่นางไม่มีโอกาสได้ล่ำลา

ในค่ำคืนอันมืดมิดของพายุ นางคลอดบุตรคนที่สองเพียงลำพัง ด้วยร่างกายเปลือยเปล่าและหัวใจที่อ่อนล้า นางพยายามปกป้องลูกทั้งสองจากสายฝนและลมแรงด้วยเรือนกายของตน พอลมฟ้าสาง นางก็อุ้มลูกคนเล็กและจูงมือคนโตเดินตามหาสามี กระทั่งพบศพของเขานอนแน่นิ่งกลางป่า ความทุกข์ใจอันเกินจะรับไหวกรีดลึกลงสู่หัวใจของนางอย่างไม่บันยะบันยัง

เมื่อเดินทางมาถึงริมฝั่งแม่น้ำจิรวดี นางถูกความจำเป็นบีบบังคับให้วางลูกคนเล็กไว้ริมฝั่งหนึ่งก่อนแล้วข้ามไปหาลูกคนโต ทว่าโชคชะตากลับพรากสิ่งที่นางเหลืออยู่ออกไปทีละคน นกเหยี่ยวเฉี่ยวเอาลูกคนเล็กไปต่อหน้าต่อตา และลูกคนโตก็จมน้ำตาย เพราะเข้าใจผิดคิดว่าแม่เรียกให้ตามลงไป เมื่อชีวิตทั้งสาม—สามีและบุตรทั้งสอง—จากไปอย่างไม่อาจหวนคืนได้ นางจึงเดินทางสู่เมืองสาวัตถีด้วยหัวใจแหลกสลาย

ทว่าเคราะห์กรรมกลับมิสิ้นสุดลงเพียงนั้น เมื่อชายคนหนึ่งแจ้งว่าวันก่อนเกิดพายุฝนอย่างหนัก จนปราสาทของบิดามารดาพังถล่มลงทับคนในครอบครัวจนถึงแก่ชีวิต นางพินาศทั้งร่างกายและจิตใจ ถึงขั้นสติแตก เปลือยกาย เดินร้องไห้คร่ำครวญอยู่กลางตลาด ผู้คนต่างขวัญหนีดีฝ่อ แต่ไม่มีใครช่วยเหลือได้นอกจากพระพุทธเจ้า

ในที่สุด ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบรมศาสดา ผู้ทรงเข้าใจในความทุกข์อย่างลึกซึ้ง ได้ตรัสธรรมเทศนาแก่ปฏาจาราเถรี นางจึงบรรลุโสดาปัตติผล และภายหลังได้บวชในพระธรรมวินัย จนกระทั่งบรรลุพระอรหันต์อย่างเต็มเปี่ยม

พระพุทธองค์ทรงยกย่องพระปฏาจาราเถรีให้เป็นเอตทัคคะในฝ่ายผู้ทรงพระวินัย ด้วยความสามารถในการบัญญัติและปฏิบัติตามพระวินัยได้อย่างยอดเยี่ยม นับเป็นสตรีผู้ประเสริฐ ผู้ที่ผ่านพ้นห้วงทุกขเวทนาสู่การรู้แจ้งอย่างแท้จริง และยังเป็นประจักษ์พยานแห่งพุทธธรรมว่า “แม้จักจมอยู่ในห้วงแห่งอวิชชา หากใจยังตั้งมั่นย่อมนำพาตนให้หลุดพ้นได้เสมอ”

จากนางฟ้าสู่พระอรหันต์ตามหลักอิทัปปัจจยตา

เหตุแห่งการเกิดพระปฏาจาราเถรี: ทุกข์ที่กลั่นเกลาเป็นปัญญา

พระปฏาจารา อุบาสิกาผู้เคยเพียบพร้อมด้วยทรัพย์ศฤงคาร หากถูกจำกัดสิทธิแห่งหัวใจโดยพ่อแม่ผู้เคร่งครัดในศักดิ์ศรี เธอหนีตามชายคนรักผู้ต่ำศักดิ์ สร้างครอบครัวด้วยรักแท้แต่ไร้หลักประกันแห่งโลก ทว่า ชะตาชีวิตมิได้ปรานี เมื่อเธอสูญเสียสามี ลูกทั้งสอง และครอบครัวในเวลาเดียวกัน ความทุกข์มหาศาลจึงระเบิดออกมาในรูปของอาการเสียสติ

แต่เหตุการณ์ไม่จบลงเพียงแค่นั้น เมื่อเธอได้สดับพระธรรมจากพระพุทธองค์ เรื่อง “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” — ความไม่เที่ยงแห่งสรรพสิ่ง จิตของเธอเริ่มแยกตัวจากคลื่นอารมณ์ เกิดเป็น “โยนิโสมนสิการ” คือการใคร่ครวญอย่างมีปัญญา จนสามารถกลับใจและบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ นี่มิใช่เพราะโชคช่วย หากคือผลแห่งเหตุปัจจัยที่สั่งสมทั้งในอดีตและปัจจุบัน

อิทัปปัจจยตา คือ “เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี; เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด” กล่าวคือ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นกระบวนการต่อเนื่องกันของเหตุและผล

เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดพระปฏาจาราเถรี

  • พื้นฐานครอบครัวที่มั่งคั่งแต่เคร่งครัด
    พระปฏาจาราเคยเป็นธิดาเศรษฐี แต่ชีวิตในวังวนของความมั่งมีนำมาซึ่งการควบคุม การกีดกันมิให้ได้ครองรักกับบุรุษต่ำศักดิ์ นี่คือ “ปัจจัย” แรกที่ทำให้เธอ หนีออกจากบ้าน
  • ความรักที่มีต่อลูกและสามี
    เมื่อใช้ชีวิตในชนบท เธอมีความรักมั่นในครอบครัว แต่แล้วเธอกลับต้องสูญเสียสามี ลูก และครอบครัวในเวลาไล่เลี่ยกัน สิ่งนี้คือ “ปัจจัยแห่งความทุกข์” ที่เธอสะสมและระเบิดออก
  • ความเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดขีด
    การสูญเสียทุกสิ่ง ทำให้เธอกลายเป็นคนเสียสติ (เปลือยกายเดินร้องไห้ในเมือง) แต่การกระทำเหล่านั้นไม่ใช่เพราะ “เธอเลือก” หากแต่เป็นเพราะ “เหตุปัจจัย” หล่อหลอมจิตใจเธอให้แบกรับความทุกข์จนไม่อาจควบคุมตนเองได้อีกต่อไป
  • การได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า
    เมื่อได้ฟังธรรมคำสอนเกี่ยวกับความไม่เที่ยงของชีวิต พระปฏาจาราได้เกิด “โยนิโสมนสิการ” (การใคร่ครวญโดยแยบคาย) ทำให้เธอเกิด “ปัญญา” และสามารถละวางความเศร้า กลับกลายเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

หลักคิดที่ได้จากเรื่องนี้ต่อสังคมปัจจุบัน

  • ไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอยๆ ทุกสิ่งมีเหตุและปัจจัย
    ทุกข์ สุข ความวิบัติ หรือความสำเร็จในชีวิต ไม่ได้เป็นผลของกรรมเก่าหรือโชคชะตาเพียงอย่างเดียว หากเป็นผลจากการกระทำ ความคิด ค่านิยม และสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกัน
  • ความทุกข์คือสิ่งที่แปรเปลี่ยนได้ หากมีปัญญา
    พระปฏาจาราแสดงให้เห็นว่า แม้ความทุกข์จะหนักหนาเพียงใด หากได้ใช้ปัญญาในการมองอย่างลึกซึ้ง ก็สามารถเปลี่ยนจากผู้วิกลจริตมาเป็นพระอรหันต์ได้
  • สังคมควรเรียนรู้ที่จะ “เข้าใจ” ไม่ใช่ “ตัดสิน”
    การที่สังคมมองคนเสียสติด้วยความรังเกียจ เป็นภาพสะท้อนว่ามนุษย์มักตัดสินผู้อื่นโดยไม่เข้าใจ “เหตุแห่งความเป็นไป” ของเขา หลักอิทัปปัจจยตาจึงเป็นเครื่องเตือนให้เรา “เข้าใจเหตุ” ก่อน “ตัดสินผล”

การนำหลักนี้มาใช้ในชีวิตประจำวัน

  • เข้าใจตนเอง: เมื่อพบกับความทุกข์ จงถามว่า “อะไรคือเหตุปัจจัย” แห่งความทุกข์นั้น และค่อยๆ ถอนปัจจัยที่ทำให้ทุกข์นั้นตั้งอยู่
  • เข้าใจผู้อื่น: เมื่อเห็นผู้อื่นมีพฤติกรรมไม่น่าพึงใจ ควรมีเมตตาและพิจารณาว่า “อะไรคือเหตุที่ทำให้เขาเป็นเช่นนั้น” แทนที่จะตำหนิหรือผลักไส
  • เปลี่ยนชีวิตด้วยการเปลี่ยนปัจจัย: หากต้องการชีวิตที่ดีขึ้น จงเปลี่ยนแปลง “เหตุ” แห่งความเป็นอยู่ เช่น เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม ความคิด เพื่อนฝูง หรือพฤติกรรมที่ไม่ดี
  • ยอมรับความไม่เที่ยง: เมื่อสิ่งต่างๆ ผิดหวังหรือสูญเสีย ให้น้อมรับว่าทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดา

พระปฏาจาราเถรี เป็นภาพสะท้อนแห่ง “อิทัปปัจจยตา” ที่แจ่มชัด ทุกข์ทั้งหลายมิได้เกิดโดยไร้เหตุ และสุขทั้งหลายก็ต้องอาศัยปัจจัยในการปรุงแต่ง เมื่อเข้าใจหลักนี้แล้ว ชีวิตของเราจะไม่จมอยู่กับอารมณ์หรือโชคชะตา แต่จะหันมามองเหตุ มองตน และแปรเปลี่ยนชีวิตอย่างมีสติและปัญญา

หากต้องการ ฉันสามารถจัดรูปแบบบทความนี้ให้อยู่ในรูปแบบเอกสารเพื่อเผยแพร่สู่สาธารณะด้วยภาษากึ่งวรรณกรรมและทางการได้เช่นกัน.

หลักคิดจากเรื่องนี้ในบริบทของสังคมปัจจุบัน

เรื่องราวของพระปฏาจาราเถรีชี้ให้เห็นความจริง ๓ ประการอันควรแก่การพินิจในยุคสมัยที่ความเร่งรีบและผิวเผินครอบงำชีวิตผู้คน:

  • ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆ: ทุกข์ สุข หรือความพินาศ ล้วนเกิดจากเหตุและปัจจัยที่สะสมมานาน ทั้งด้านความคิด การกระทำ และสภาพแวดล้อม
  • ความทุกข์มิใช่จุดจบ หากเป็นประตูสู่การตื่นรู้: หากมองด้วยปัญญา ทุกข์คือครูผู้เคร่งครัดที่กลั่นเกลาจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น
  • สังคมควรเปลี่ยนจากการตัดสิน มาเป็นความเข้าใจ: การตีตราผู้ที่เจ็บป่วยทางจิต หรือประสบภัยชีวิต เป็นการซ้ำเติมโดยไม่เข้าใจเบื้องหลังแห่งความเป็นไป หลักอิทัปปัจจยตาจึงเป็นสะพานสู่ความเมตตาและการให้อภัย

การนำหลักเหตุปัจจัยสู่การดำรงชีวิต

มนุษย์ยุคใหม่แม้จะมีเทคโนโลยีและข้อมูลล้นมือ หากยังคงตกเป็นทาสของความรู้สึกและการด่วนตัดสินใจโดยไร้ปัญญา การดำรงชีวิตโดยใช้หลักอิทัปปัจจยตาเป็นเครื่องนำทางจะช่วยให้เรา:

  • เข้าใจตนเอง: ทุกข์ใดที่เกิด จงถามหาที่มาของมัน พิจารณาว่าเหตุใดจึงตั้งอยู่ และจะดับไปได้ด้วยอะไร
  • เข้าใจผู้อื่น: มองความผิดพลาดหรือความประพฤติของผู้อื่นในฐานะผลของเหตุที่เราอาจไม่รู้จัก
  • เปลี่ยนชีวิตด้วยการเปลี่ยนเหตุ: อย่ารอให้ผลเปลี่ยน แต่จงเปลี่ยนปัจจัย เช่น ความคิด พฤติกรรม สิ่งแวดล้อม หรือค่านิยม
  • ปล่อยวางด้วยความเข้าใจ: ไม่มีสิ่งใดยึดมั่นได้ตลอดไป ความพลัดพราก ความผิดหวัง คือธรรมดาของโลก

ชีวิตของพระปฏาจาราเถรีคือกระจกเงาแห่งความจริงของโลก ไม่มีทุกข์ใดไม่เกิดจากเหตุ และไม่มีเหตุใดดับไม่ได้หากมีปัญญา หลักอิทัปปัจจยตาไม่ได้สอนให้เรายอมจำนนต่อชะตา แต่สอนให้มองลึกลงไปในห่วงโซ่แห่งเหตุและผล เพื่อปลดแอกตนเองจากพันธนาการแห่งอวิชชาและอารมณ์ทั้งปวง ด้วยความเข้าใจอันถึงแก่นแท้ ชีวิตจึงไม่ใช่สิ่งที่ต้องอดทนฝืนทน หากคือกระบวนการแห่งการรู้ ตื่น และเบิกบาน และยังเป็นข้อมูลสำคัญของศาสนาพุทธ ไม่ได้มีข้อห้ามในการห้ามไม่ให้สตรีได้ถือผ้ากาสาวพัสตร์ในพระพุทธศาสนา