In Bangkok

กทม.แจงแนวทางช่วยผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง เร่งโอนย้ายไปหน่วยบริการปฐมภูมิ



กรุงเทพฯ-นางเลิศลักษณ์ ลีลาเรืองแสง ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ (กทม.) กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาแนวทางให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หรือสิทธิบัตรทองในหน่วยบริการศศิรักษ์สหคลินิก ซึ่งอยู่ระหว่างถูกตรวจสอบเรื่องการเบิกจ่ายและขอยุติการให้บริการ ส่งผลกระทบต่อประชาชนสิทธิบัตรทองได้รับความเดือดร้อนว่า สนพ. ได้เร่งประสานสถานพยาบาลในสังกัดวางแนวทาง เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน โดย สปสช. ได้ดำเนินการจัดสรรหน่วยบริการปฐมภูมิแห่งใหม่ให้กับผู้มีสิทธิ  บัตรทองที่ได้รับผลกระทบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้จัดสรรผู้ป่วยไปยังคลินิกเวชกรรมและสหคลินิกใกล้เคียงที่พักอาศัย 5 แห่ง ได้แก่ คลินิกเวชกรรมพุฒธาดา บางแค สหคลินิกสินเนรมิต รักษ์สุขภาพเพชรเกษม 65 คลินิกเวชกรรม คลินิกเวชกรรมตลาดคลองขวาง และคลินิกเวชกรรมตลาด ม.เศรษฐกิจ โดยมีหน่วยบริการประจำเป็นศูนย์บริการสาธารณสุข 40 บางแค และหน่วยบริการรับส่งต่อจะเป็นโรงพยาบาลมิตรประชา ซึ่งครอบคลุมการให้บริการแก่ประชาชนกลุ่มนี้ได้ทันท่วงที มีผลตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค. 68 เป็นต้นไป

อีกทั้ง ผู้มีสิทธิบัตรทองจากพื้นที่ดังกล่าวยังสามารถเลือกโรงพยาบาลเอกชนอีก 9 แห่ง เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ ได้แก่ โรงพยาบาล (รพ.) ไอเอ็มเอช สีลม (เขตบางรัก) รพ.ไอเอ็มเอช ธนบุรี (เขตราษฎร์บูรณะ) รพ.บางนา1 (เขตบางนา) รพ.เดอะซีพลัส ประเวศ (เขตประเวศ) รพ.เพชรเวช (เขตห้วยขวาง) รพ. แพทย์ปัญญา (เขตสวนหลวง) รพ.มิตรประชา (เขตภาษีเจริญ) รพ.กล้วนน้ำไท (เขตบางนา) และ รพ.พีเอ็มจี (เขตบางขุนเทียน) ส่วนผู้มีสิทธิบัตรทองที่เคยเลือกศศิรักษ์สหคลินิกเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ สามารถตรวจสอบหน่วยบริการแห่งใหม่ของตนได้ตั้งแต่วันนี้ ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของ สปสช. ได้แก่ แอปพลิเคชัน สปสช. ไลน์ @nhso โทรศัพท์สายด่วน 1330 และหากไม่สะดวกเข้ารับบริการที่หน่วยบริการแห่งใหม่ สามารถลงทะเบียนย้ายหน่วยบริการได้ปีละ 4 ครั้ง ซึ่งจะได้รับสิทธิทันทีและสามารถเข้ารับบริการได้ตามหน่วยบริการที่เลือกใหม่ ทั้งนี้ สนพ. ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพและสิทธิในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ของประชาชนทุกคน และจะเร่งประสานความร่วมมือตามแนวทางดังกล่าว เพื่อแก้ไขปัญหานี้โดยเร็วที่สุด

ขณะเดียวกัน สนพ. ได้ประสานงานกับ สปสช. เขต 13 กทม. อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เกิดปัญหา โดยได้ให้ข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับขีดความสามารถของโรงพยาบาลและศูนย์บริการสาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อประกอบการพิจารณาของ สปสช. ในการจัดสรรผู้ป่วยไปยังหน่วยบริการแห่งใหม่ แม้ว่า สปสช. จะจัดสรรผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบไปยังโรงพยาบาลราชพิพัฒน์และคลินิกเวชกรรมใกล้เคียง 5 แห่งแล้ว พร้อมสั่งการให้เตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลในสังกัด ทั้งด้านบุคลากรและทรัพยากร เพื่อเป็นหน่วยงานสำรองหากมีผู้ป่วยฉุกเฉิน หรือผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อาจมีข้อจำกัดในการเข้าถึงหน่วยบริการที่ได้รับจัดสรรใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการทำงานเชิงรุก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการให้บริการผู้ป่วยในระบบเดิม ซึ่งปัจจุบัน กทม. มีนโยบายการเพิ่มศักยภาพและขยายบริการสาธารณสุขเพื่อรองรับประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การยกระดับศักยภาพและขยายการให้บริการของศูนย์บริการสาธารณสุขของสำนักอนามัยที่มีอยู่ให้สามารถรองรับการเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิหลักได้อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งยังได้เพิ่มขีดความสามารถของโรงพยาบาลในสังกัด โดยมีแผนโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่เพิ่มเติมอีก 4 แห่ง ได้แก่ รพ.พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) (เขตภาษีเจริญ) รพ.บุษราคัมจิตการุณย์ (เขตสายไหม) รพ.ทุ่งครุ และ รพ.ดอนเมือง เพื่อรองรับการให้บริการประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยบริการของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในพื้นที่กรุงเทพฯ ในการเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อ (Referral Hospital) ที่มีประสิทธิภาพ สามารถรองรับจำนวนผู้ป่วยที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต ตลอดจนจัดทำแนวทางปฏิบัติร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ในลักษณะเดียวกันในอนาคตได้อย่างทันท่วงที ซึ่งกำหนดบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่ส่งผลกระทบต่อการดูแลผู้ป่วยเดิม และประสานการทำงานร่วมกับหน่วยงานส่วนกลางอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขในพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนต่อไป

นอกจากนี้ กทม. มีเป้าหมายยกระดับหน่วยบริการปฐมภูมิให้มีความเข้มแข็งและเป็นที่พึ่งหลักสำหรับประชาชน โดยมีแนวทางที่สำคัญ ได้แก่ ยกระดับศูนย์บริการสาธารณสุข กทม. ให้เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิที่มีคุณภาพสูง โดยเพิ่มขีดความสามารถการให้บริการที่ครอบคลุมมากขึ้น ไม่จำกัดแค่การรักษาอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น แต่รวมถึงการดูแลสุขภาพเชิงรุก การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และการจัดการโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และสุขภาพจิตอย่างครบวงจร รวมถึงพัฒนาศักยภาพโรงพยาบาลในสังกัดในฐานะหน่วยบริการรับส่งต่อ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งได้ดำเนินโครงการจัดทำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยี เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ (Health Information Exchange: Health Link) ร่วมกับสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพผ่านระบบดิจิทัลในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อให้หน่วยบริการทุกระดับสามารถเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ อาทิ ข้อมูลการรักษา การแพ้ยา และการทำหัตถการ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาพยาบาล การติดตามอาการ ลดความซ้ำซ้อนในการจ่ายยา การส่งต่อระหว่างหน่วยบริการ และเพิ่มความสะดวกการเข้าถึงบริการของประชาชน โดยปัจจุบันการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพผ่านระบบ Health Link กับหน่วยบริการทุกระดับในพื้นที่กรุงเทพฯ สามารถเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพเรียบร้อยแล้ว จำนวน 1,586 แห่ง จากหน่วยบริการที่เข้าร่วมโครงการฯ 1,615 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 98.2 ซึ่งสามารถรองรับการให้บริการและดูแลรักษาประชาชนทุกกลุ่มและทุกสิทธิการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นางภาวิณี รุ่งทนต์กิจ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย (สนอ.) กทม. กล่าวว่า ในส่วนของ สนอ. ได้กำหนดแนวทางให้ศูนย์บริการสาธารณสุข กทม. ทั้ง 69 แห่ง ให้บริการแก่ผู้ป่วยที่มีสิทธิปฐมภูมิคลินิก หรือหน่วยบริการปฐมภูมิอื่น ในกรณีอุบัติเหตุ/ฉุกเฉิน หรือเหตุสมควร โดยไม่ปฏิเสธการรักษา ตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ในกรณีผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หรือรับการรักษาต่อเนื่องที่มีสิทธิจากหน่วยบริการปฐมภูมิอื่นมารับบริการที่ศูนย์บริการสาธารณสุข ในเบื้องต้นจ่ายยาโรคเรื้อรังให้ผู้ป่วยเป็นเวลา 1 เดือน อีกทั้งได้พัฒนาการให้บริการ ยกระดับศูนย์บริการสาธารณสุข เพิ่มการรักษา เพิ่มเวลา เพิ่มทรัพยากร ทั้งเพิ่มบริการดูแล รักษา และสังเกตอาการผู้ป่วยที่ศูนย์บริการสาธารณสุขพลัส พัฒนาศักยภาพศูนย์บริการสาธารณสุขสาขาเป็นศูนย์แพทย์ชุมชนเมือง เพื่อเปิดให้บริการรักษาพยาบาลโดยแพทย์เพิ่มขึ้น เปิดคลินิกนอกเวลาเพื่อขยายระยะเวลาการให้บริการ และพัฒนาคลินิกพิเศษในกลุ่มศูนย์บริการสาธารณสุข ให้เป็นเครือข่ายคลินิกรับการส่งต่อผ่านเทคโนโลยี Teleconsult อาทิ คลินิกอายุรศาสตร์โรคหัวใจ คลินิกสูตินรีเวช คลินิกอายุรศาสตร์ต่อมไร้ท่อฯ คลินิกกุมารเวชกรรม และคลินิกจักษุ เป็นต้น ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างการประเมินศักยภาพของศูนย์บริการสาธารณสุข กทม. ทั้งในด้านบุคลากร ทรัพยากร ลักษณะทางกายภาพ และภาระงาน เพื่อประกอบการพิจารณาการเปิดเครือข่ายรับลงทะเบียนผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพิ่มเติม โดยประสาน สปสช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ในการพิจารณาเปิดเครือข่ายรับลงทะเบียนผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของศูนย์บริการสาธารณสุขจะต้องคำนึงถึงศักยภาพของคลินิกชุมชนอบอุ่นในเครือข่ายร่วมด้วย โดยคลินิกชุมชนอบอุ่นหนึ่งแห่งสามารถรับผิดชอบประชากรได้ 8,000 - 12,000 คน เพื่อให้คลินิกชุมชนอบอุ่นได้รับการสนับสนุนงบเหมาจ่ายรายหัวได้เพียงพอ